วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

หมิ่นประมาทยอมความได้


หมิ่นประมาทยอมความได้หรือไม่
                      การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยที่น่าจะทำให้ผู้อื่นที่ถูกใส่ความนั้นต้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังนั้น กฎหมายถือว่าเป็นการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องมีโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าเป็นการกระทำความผิดฐานนี้ด้วยการโฆษณาด้วยแล้ว โทษก็ย่อมจะมีสูงขึ้นด้วย เช่น การพูดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามว่า เขาเป็นคนไม่ดี ความประพฤติไม่ดีต่างๆ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม ย่อมเป็นความผิดตามกฎหมายแล้ว                          แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น เมื่อเป็นความผิดแล้วก็มิใช่ว่าจะต้องมีการดำเนินคดีฟ้องร้องกันจนถึงขั้นให้ศาลลงโทษตามความผิดเสนอมไป เพราะความผิดฐานหมิ่นประมาทนี้ กฎหมายให้ถือว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ ดังนั้น ถ้าผู้กระทำผิดได้มีการกล่าวขอโทษด้วยวิธีการต่างๆ เช่น กล่าวขอโทษผู้เสียหายทางสื่อต่างๆ และชดใช้ความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายตามสมควรแล้ว คู่กรณีอาจตกลงยอมความต่อกันได้เสมอ ก่อนคดีถึงที่สุด

ความผิดอันยอมความได้ | คดีหมิ่นประมาท | ร้องทุกข์ภายในสามเดือน
ในคดีความผิดอันยอมความได้นั้นผู้เสียหายต้องร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความ ผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด มิฉะนั้นเป็นอันขาดอายุความและเมื่อมีการร้องทุกข์แล้วต้องฟ้องคดีภายใน 5 ปี ในกรณีที่ผู้เสียหายประสงค์จะฟ้องเองก็ไม่จำเป็นต้องร้องทุกข์ก็ได้ ในกรณีนี้ผู้เสียหายต้องฟ้องภายในสามเดือน ดังนั้นการที่ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้วภายในสามเดือนแล้วมาฟ้องคดีเมื่อพ้นสามเดือนมาแล้วคดีจึงยังไม่ขาดอายุความ
                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2532
อายุความในการร้องทุกข์สำหรับความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 มีกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดประกอบกันทั้งสองประการ กฎหมายหาได้บัญญัติให้นับอายุความร้องทุกข์ตั้งแต่วันที่จำเลยกระทำความผิดไม่ จำเลยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2528และต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2528 หนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวตามที่จำเลยให้สัมภาษณ์ ต้องถือว่าโจทก์รู้ตัวผู้กระทำความผิด ในวันดังกล่าวเมื่อโจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 13 เมษายน 2528ซึ่งอยู่ภายในกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด แม้โจทก์นำคดีมาฟ้องหลังจากวันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเกินสามเดือนแต่ยังอยู่ภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 95 คดีของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328, 332, 83, 91 ให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาของศาลทั้งหมดในหนังสือพิมพ์รายวันจำนวน 5 ฉบับมีกำหนด 7 วัน โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ปรับ 1,000 บาทไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30คำขออื่นให้ยก โจทก์และจำเลยฎีกา
                 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "สำหรับฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2528โจทก์มาร้องทุกข์เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2528 ซึ่งเกินกำหนดเวลาสามเดือน นับแต่วันกระทำผิดและโจทก์เพิ่งนำคดีมาฟ้องศาลเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2528 เป็นเวลาเกินกว่าสามเดือนนับแต่วันกระทำความผิด คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐาน ในสำนวนซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2528 จำเลยได้ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ ต่อมาวันที่14 มกราคม 2528 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ได้ลงข่าวตามที่จำเลยให้สัมภาษณ์ โจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 13เมษายน 2528 เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทตามข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับดังกล่าว เห็นว่าอายุความในการร้องทุกข์สำหรับความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 มีกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดประกอบกันทั้งสองประการ กฎหมายหาได้บัญญัติให้นับอายุความร้องทุกข์ตั้งแต่วันที่จำเลยกระทำความผิดไม่ การที่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันที่ 14 มกราคม 2528 ลงข้อความอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ตามที่จำเลยให้สัมภาษณ์ ย่อมต้องถือว่าโจทก์รู้ตัวผู้กระทำความผิดในวันดังกล่าว เมื่อโจทก์ได้ร้องทุกข์ภายในกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96 แล้ว แม้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องหลังจากวันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเกินสามเดือน แต่โจทก์ก็นำคดีมาฟ้องภายในกำหนดอายุความ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 ดังนี้คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น"
      
     มาตรา 95 ในคดีอาญา ถ้ามิได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิด มายังศาลภายในกำหนดดังต่อไปนี้ นับแต่วันกระทำความผิดเป็นอัน ขาดอายุความ
(1) ยี่สิบปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุกยี่สิบปี
(2) สิบห้าปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าเจ็ดปีแต่ ยังไม่ถึงยี่สิบปี
(3) สิบปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าหนึ่งปีถึงเจ็ดปี
(4) ห้าปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าหนึ่งเดือนถึง หนึ่งปี
(5) หนึ่งปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งเดือน ลงมาหรือต้องระวางโทษอย่างอื่น
     ถ้าได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลแล้ว ผู้กระทำ ความผิดหลบหนีหรือวิกลจริต และศาลสั่งงดการพิจารณาไว้จนเกิน กำหนดดังกล่าวแล้วนับแต่วันที่หลบหนีหรือวันที่ศาลสั่งงดการพิจารณา ก็ให้ถือว่าเป็นอันขาดอายุความเช่นเดียวกัน
     มาตรา 96 ภายใต้บังคับ มาตรา 95 ในกรณีความผิดอันยอมความ ได้ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความ ผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ มาตรา 97 ในการฟ้องขอให้กักกัน ถ้าจะฟ้องภายหลังการฟ้อง คดีอันเป็นมูลให้เกิดอำนาจฟ้องขอให้กักกัน ต้องฟ้องภายในกำหนด หกเดือนนับแต่วันที่ฟ้องคดีนั้น มิฉะนั้น เป็นอันขาดอายุความ

ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 326   
ระบุถึงการกระทำความผิด ฐานหมิ่นประมาทไว้ว่า    “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการ ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้น  เสียชื่อเสียงถูก  ดูหมิ่น   หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”  การหมิ่นประมาท ที่จะเป็นความผิดที่มีโทษ ทางอาญานั้น จะต้องมีการกระทำ ที่สำคัญ คือ
 “ใส่ความ”  ความหมายที่ได้บัญญัติไว้   โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ให้ความหมายไว้ว่า พูดหาเหตุ หรือ กล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับ ความเสียหาย 
            ตามความหมายที่ชาวบ้านธรรมดาเข้าใจกัน ก็คือการใส่ความแก่กัน ว่าใส่ร้ายหรือแสดงข้อความที่ไม่เป็นความจริง 
            แต่ข้อเท็จจริงตามกฏหมายข้อความที่กล่าวแก่บุคคลอื่นนั้นแม้ที่กล่าว ออกไปนั้นเป็นความจริงก็ผิดกฎหมายมีโทษได้ 
 การ “ใส่ความ” ในกฎหมายนั้นมิได้จำกัดแต่ว่าเอาเรื่องไม่จริง ไปแต่งความใส่ร้ายเขาแต่มุ่งการเอาข้อความไปว่ากล่าวเขา ต้องเป็นการยืนยัน ข้อเท็จจริงว่า เป็นข้อความแน่นอนเป็นเหตุให้ผู้อื่น เสียชื่อเสียงด้วยประการ ต่าง ๆ   เช่น 
            ดำบอกแดงว่า มีข่าวลือว่าขาว เป็นชู้กับเมียนายเขียว แม้ดำจะเชื่อว่า ไม่จริง หรือเป็นความจริงก็ตาม ดำก็ผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว 
            การหมิ่นประมาทต้องเป็นการกล่าว “ใส่ความ” “ผู้อื่น” ต่อ “บุคคลที่สาม”   ต้องมีบุคคลสามฝ่าย คือ 
          
  1. ผู้กล่าว         2. ผู้อื่น         3. บุคคลที่สาม 

เช่น 
            ดำบอกแดงว่า แดงขโมยของเขียวไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะไม่มี บุคคลที่สาม แต่ถ้าดำบอกเหลืองว่า แดงขโมยของเขียว ดำผิดฐานหมิ่นประมาท แล้ว เพราะเหลืองเป็นบุคคลที่สาม 
            เมื่อมีการกล่าว การใส่ความ บุคคลที่สามแล้ว ประการสุดท้ายที่จะเป็นผิดฐานหมิ่นประมาทได้นั้น การใส่ความต้องทำให้ผู้ถูกใส่ความเสียหาย ไม่ว่าจะเสียหายในชื่อเสียงถูกคนอื่นดูหมิ่น ถูกเกลียดชังก็ได้

สรุป ก็คือ จะเป็นผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องมีการกระทำดังนี้
         1. ใส่ความผู้อื่น
         2. ต่อบุคคลที่สาม
         3. ทำให้ผู้อื่นเสียหายในชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
            การใส่ความต้องมีผู้เสียหาย คือผู้ถูกใส่ความ ซึ่งตามหลักเกณฑ์ ทางกฏหมายคือผู้อื่น
            ผู้อื่นนั้นต้องเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลก็ได้

นิติบุคคล คือ บุคคลตามกฏหมาย เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด วัด เป็นต้น
            บุคคลผู้ถูกหมิ่นประมาทถ้าเป็นคนธรรมดา ต้องเป็นผู้มีชีวิตอยู่ แต่ถ้าตายไปแล้วก็ผิดกฏหมายได้ จะได้กล่าวในลำดับต่อไป
            บุคคลที่ถูกดูหมิ่นประมาทต้องมีตัวตน ระบุไว้แน่นอนว่าเป็นใคร กลุ่มใด สามารถกำหนดตัวตนได้เป็นที่แน่นอน
            ถ้ากล่าวกว้างเกินไป ก็ไม่สามารเอาผิดฐานหมิ่นประมาทได้  เช่น หมิ่นประมาทคนนครปฐม คนราชบุรี เป็นการระบุไว้อย่างกว้าง ๆ ไม่เป็นผิด


ตัวอย่างตามคำพิพากษาศาลฎีกา 

         - การเขียนข้อความหมิ่นประมาทกำนันและปลัดอำเภอโดยไม่ระบุชื่อ ผู้อ่านบางคนรู้ว่าหมายความถึง  บ.กำนันคนปัจจุบัน   และ ป. ปลัดอำเภอ คนหนึ่งที่เกี่ยวข้องเรื่องนั้น  ปลัดอำเภออีก 4 คน  ไม่เกี่ยว ก็เป็น หมิ่นประมาท บ. และ ป. ไม่จำเป็นที่ผู้อ่านบางคน จะต้องรู้ว่าหมายความถึง บ. และ ป.
        -  ออกชื่อบุคคลในหนังสือพิมพ์ตอนแรกแต่ไม่ออกชื่อในตอนหลัง อาจอ่านประกอบกันเป็นหมิ่นประมาทบุคคลที่ออกชื่อในตอนแรก ก็ได้
         - กล่าวว่า แพทย์ชายใจทราม ในโรงพยาบาลศิริราช หมายความถึง แพทย์ชายคนหนึ่งมิได้หมายความถึงแพทย์ทุกคน ไม่เป็นความผิดฐานนี้
         - กล่าวถึงบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกในพรรคคนหนึ่ง ฟ้องไม่ได้ ในเมื่อไม่มีอะไรแสดงว่ากล่าวถึงผู้นั้นโดยเฉพาะ
         - กล่าวว่าเทศมนตรีทุจริต แต่ในระยะ 1 ปี มีเทศมนตรีเปลี่ยนกัน มาแล้ว  7 ชุดยังเข้าใจไม่ได้ว่า หมายความถึง เทศมนตรีชุดปัจจุบัน 3 นาย
         - กล่าวว่า ราษฏรบ้านกราดที่อพยพมา ล้วนเป็นคอมมิวนิสต์ ราษฏร มี  4,000 คน ไม่เข้าใจว่า หมายความถึงโจทก์ไม่เป็นหมิ่นประมาท
    แต่ถ้ากล่าวข้อความหมิ่นประมาทถึงแม้จะ กล่าวถึงคนเป็นกลุ่มเป็นพวก ก็ตามถ้าสามารถเป็นที่เข้าใจได้ว่า หมายถึง คนในกลุ่มในพวกนั้นทุกคนก็เป็น หมิ่นประมาทได้ แต่ต้องคำนึงถึงด้วยว่า คนในกลุ่มพวกดังกล่าว ต้องมีจำนวน ไม่มากเกินไป ถ้าจำนวนคนในกลุ่มพวกมีจำนวนมาก ๆ อาจทำให้เป็นที่เข้าใจ ได้ว่าไม่หมายความถึงทุกคน ไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท ดังตัวอย่างตาม คำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้น

 ตัวอย่างตามคำพิพากษาศาลฎีกา 

         - พูดหมิ่นประมาท “พระวัดนี้” หมายความว่า พระทั้งวัดซึ่งมี 6 รูป
         - กล่าวว่า “ทนายความเมืองร้อยเอ็ดเป็นนกสองหัว” ซึ่งมีทนายความอยู่ 10 คน การใส่ความดังกล่าวมาแล้วข้างต้น คือ เป็นการแสดงข้อเท็จจริงอันหนึ่ง อันใดแม้เป็นความจริงก็ผิดได้
         วิธีการใส่ความก็คือ แสดงข้อความให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ อาจเป็น พูด อ่านเขียน  วาดภาพ  แสดงท่าทาง  ภาษามือ ใช้เครื่องหมายสัญญลักษณ์

ตัวอย่าง
     - ดำวาดภาพแสดงข้อความว่าแดงเป็นคนไม่ดีให้เขียวดู เป็นหมิ่นประมาท
     - ดำหมิ่นประมาทแดงโดยใช้ภาษามือกับเขียว เป็นหมิ่นประมาท
     - ดำส่งกระดาษที่มีข้อความหมิ่นประมาทเขียวให้แดงอ่าน เป็นหมิ่นประมาท หรืออาจเป็นการแสดงออกโดยปิดประกาศหรือส่งจดหมาย พูดทางโทรศัพท์ ก็ได้
        ข้อความที่ใส่ความนั้นต้องหมิ่นประมาทด้วยกล่าวคือโดยประการ ที่น่าจะทำให้ผู้ถูกใส่ความนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังซึ่งลักษณะ ของการกระทำเป็นเพียง “น่าจะ” เท่านั้น ไม่ต้องให้ผู้รับฟัง หรือบุคคลที่สาม เกลียดชังผู้ถูกดูหมิ่น ก็ใช้ได้ ถือว่าผิดกฏหมายแม้บุคคลที่สาม จะไม่เชื่อข้อความ ก็ตาม ข้อความที่กล่าวจะผิดหรือไม่ ต้องพิจารณาทั้งหมดรวม ๆกัน ถ้ารวมกัน ทั้งหมดแล้ว เป็นหมิ่นประมาทก็ผิด ไม่ใช่พิจารณาตอนใด ตอนหนึ่ง  แต่คำกล่าวข้อความตอนต้นเป็นหมิ่นประมาทแล้ว แม้ตอนหลังจะไม่เป็น หมิ่นประมาทก็ผิด

ตัวอย่างตามคำพิพากษาศาลฎีกา 

         - หนังสือพิมพ์ ลงข่าวอดีตกำนันถูกฟ้องศาล พิจารณาคดีขบถ แต่ลงรูปถ่ายและข้อความว่า “คนขายชาติอดีตกำนัน ย.” เมื่อถูกตีแผ่ เป็นลมกลางศาล   ข้อความตอนนี้แยกเป็นคนละตอนต่างหากจากตอนแรก เป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์เองอธิบายภาพว่า ย. ขายชาติซึ่งความจริง ย. เพียงแต่ถูกฟ้อง เป็นความผิด ตามมาตรา 326
         - กล่าวถึงผู้พิพากษาว่า "ถ้ามันจะกินไข่ของเขาเข้าไป” หมายความว่า ผู้พิพากษารับสินบน ผิดฐานหมิ่นประมาท
         - กล่าวว่า “นายกเทศมนตรีกินเนื้อ น. วันละ 8 กิโล” ผิดฐานหมิ่น ประมาท
         - กล่าวว่า “คุณติดตะรางเรื่องอะไร” แสดงว่าต้องโทษจำคุกมาแล้ว ผิดฐานหมิ่นประมาท
         -ข้อความในหนังสือพิมพ์ว่า “ท.เป็นสาวก้นแฉะ” บรรยายความในฟ้อง ด้วยว่าหมายความว่าชอบร่วมประเวณีกับชายทั่วไปจำเลย ให้การรับสารภาพ เป็นหมิ่นประมาท
         การกล่าวข้อความบางทีมองผิวเผิน อาจเข้าใจได้ว่าผิดกฏหมาย ฐานหมิ่นประมาท แต่จริง ๆ แล้วไม่ผิด ต้องผิดเป็นเรื่อง ๆ ไป เช่น เป็นเพียง คำพูดไม่สุภาพ เป็นคำกล่าวลอย ๆ ไม่ยืนยันข้อเท็จจริง พูดกล่าวในสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ คำด่าทั่วไป แม้เป็นไปในทางเสื่อมเสียทำให้ผู้ถูกด่าโกรธ โมโห เจ็บใจ ไม่เป็นหมิ่นประมาท ไม่ใช่ว่าถ้ามีการด่าก็ผิดฐานหมิ่นประมาท (แต่อาจผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าได้)

 ตัวอย่างตามคำพิพากษาศาลฎีกา 

         - กล่าวว่า ทำไม่ชอบด้วยศีลธรรมไม่เป็นหมิ่นประมาท
         - ว่า ประพฤติเลวทรามที่สุดทั้งการกระทำและคำพูด ไม่เป็นหมิ่นประมาท
         - เป็นคนนิสัยไม่ดี มีความรู้สึกต่ำไม่เป็นหมิ่นประมาท
         - อย่าเอาไม้ไปแหย่ขี้ เป็นแต่คำเปรียบเทียบ ไม่สุภาพ
         - กล่าวข้อความว่า เป็นผีปอบ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แม้คนบางกลุ่มจะ เชื่อ แต่ต้องถือตามความเข้าใจของคนทั่วไป ไม่เป็นหมิ่นประมาท   แต่หากกล่าวว่า “เวลาผัวไม่อยู่ มีชู้ตั้งร้อยอันพันอัน” หมายความว่า ประพฤติเลวทรามทางประเวณี ไม่ใช่กรณีกล่าวในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เป็นหมิ่นประมาท
         - กล่าวว่า อ้ายเหี้ย อ้ายสัตว์ อ้ายชาติหมา เป็นคำด่า หมายความว่า เลวทราม ไม่ใช่ใส่ความหมิ่นประมาท
         - กล่าวว่า พระเป็นจิ้งเหลือง คือสัตว์ห่มผ้าเหลือง เป็นดูหมิ่น ไม่ใช่หมิ่นประมาท ถ้าคำด่ามีการหมิ่นประมาทรวมไปด้วยก็ผิดกฏหมายหมิ่น ประมาทได้ เช่น
         - ป. ข. ก. ด่ากัน ง. พี่ ก. เข้าช่วยด่า ป. ว่า “อีชาติดอกทอง คบกับ พี่กูที่ปากสระ ลูกของมึงคนหนึ่งเป็นลูกของผัวกู” เป็นหมิ่นประมาท
         - ล. ด่า ส. ว่า “อีส่องทำชู้กับผัวกู” พ่อแม่มันคบกับสัตว์กับหมา เป็นคำด่ามีข้อความหมิ่นประมาทรวมอยู่ด้วย
         - ด่ากับคนหนึ่ง แล้วเลยกล่าวไปถึงน้องของเขาว่ามีท้องรีดลูก เป็นหมิ่นประมาท
         - ด่าว่า “อีดอกทอง อีหน้าด้าน กะหรี่เถื่อน พวกมึง 3 คน แม่ลูกเป็น กะหรี่เถื่อน ให้เขาเอา 3 คน 50 บาท มีเงินก็เอาได้ ไม่มีเงินก็เอาได้” เป็นหมิ่นประมาท
         - มีคนบอก ส. ว่า พ. แอบดูเห็น ส. ร่วมประเวณีกับ ช. ส. ไปถาม พ. แล้ว พูดโต้ตอบเถียงกันว่าเห็นจริงหรือไม่ พ. พูดอีกว่ามึงเอากันจริง แล้ว ยังจะมาพาลหาเรื่องอีกดังนี้ พ. ไม่เพียงแต่ตอบคำถามของ ส. แต่เมื่อเถียง กันแล้ว ยังยืนยันอีก เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
         - กล่าวในการทะเลาะโต้เถียงตอบโต้ย้อนซึ่งกันและกัน ไม่เป็นผู้เสียหาย ร้องทุกข์และฟ้องไม่ได้
         การหมิ่นประมาท ต้องเป็นการใส่ความและมีพฤติกรรม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
         การเสียชื่อเสียง อาจหมายความว่าทำให้คนอื่น มองไปในทางไม่ดี ลดคุณค่า ความเชื่อถือ นับถือลง เช่น
         - กล่าวว่า พระวัดนี้ดูหนัง เลวมาก บ้าผู้หญิง ไม่มีศีล เป็นหมิ่นประมาท ทำให้ถูกดูหมิ่น   ถูกเกลียดชัง เป็นความหมายตามธรรมดา ไม่ได้จำกัด แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างตามพิพากษาศาลฎีกา 

         - ด. กล่าวว่า ย. เป็นคนโกงเอาสัญญาปลอมมาฟ้อง จะต้องฟ้อง ย. ให้ติดคุก เป็นหมิ่นประมาท
         - กล่าวว่า ง. ใช้คนไปลักเสาและเป็นคนทนสาบาน เป็นหมิ่น ประมาท
         - กล่าวว่า ผู้เสียหายลักของจำเลยเป็นหมิ่นประมาท
         - กล่าวว่าให้และรับสินบน เป็นหมิ่นประมาท
         - ลงรูปถ่ายและข้อความหนังสือพิมพ์ ประกาศข้อหายักยอก ให้นำส่งสถานีตำรวจ แสดงว่าโจทก์ทุจริต จำเลยรู้ว่าโจทก์รับราชการ นำหมายจับ จับได้แน่นอน การโฆษณาเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เป็นประโยชน์แก่ ประชาชนแม้ตำรวจออกหมายจับตามที่จำเลยร้องทุกข์จริงก็เป็นผิดมาตรา 328
         - ซ. ชี้หน้า ช. ว่า คนชาติชั่ว หากินเท่าไรก็ไม่เจริญ โกงเอาทรัพย์สมบัติ เป็นหมิ่นประมาท
         ข้อความบางข้อความเป็นการกล่าวลอย ๆ ไม่รุนแรง ไม่ทำให้ถูก เสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังก็ไม่เป็นหมิ่นประมาท

ตัวอย่างตามคำพิากษาศาลฎีกา 

         - ช. นายอำเภอพูดว่า ง. ว่า,อีหน้าเลือด ไม่ปรานีคนจน ไม่เป็น หมิ่นประมาท
         - กล่าวเป็นคำถามว่า พ. ถูกเรียกชื่อพระราชทานคืนไม่ใช่หรือ ไม่เป็นคำใส่ร้ายไม่เข้าใจได้ว่า ประพฤติไม่ดีอย่างไร หรือทำชั่วร้าย
อย่างไร ไม่เป็นหมิ่นประมาท
         - พูดว่าการกระทำขอ น. ไม่ชอบด้วยศีลธรรม  ย่อมแล้วต่อการ กระทำนั้น หากไม่ระบุการกระทำเป็นการเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าชั่วอย่างไร ไม่เป็นหมิ่นประมาท
         - ฟ้องบรรยายว่า ซ. กล่าวว่า ซ. ได้มอบเงินให้ ป. 150 บาท ไปถวาย พระ แต่ความจริงไม่ได้มอบ ดังนี้เป็นแต่ ซ. กล่าวเท็จ ไม่กล่าวหมิ่นประมาท ป.
         - เขียนจดหมายถึง ก. กล่าวว่า ข. ประพฤติเลวทรามที่สุดทั้งการกระทำ และคำพูดไม่ได้หมายความว่า ข.ลักทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ ไม่เป็นหมิ่นประมาท
         - พระธุดงค์เข้าไปอยู่ในป่า เจ้าอาวาสไล่ชาวบ้านพอใจบ้างไม่พอใจบ้าง ล. กล่าวต่อหน้าประชาชนว่า “หลวงพ่อวัดนี้เอาประชาชนบังหน้าต่อต้านพระ ที่ป่าช้า” ไม่รุนแรงถึงเป็นหมิ่นประมาท
         -  ลงหนังสือพิมพ์ว่า อ. ไม่มีชื่อในทำเนียบนักข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถ้า อ. ไปอ้างที่ไหนว่า อ. เป็นนักข่าวให้แจ้งตำรวจจับได้เลย ไม่เป็นหมิ่นประมาท
          ต่อไปนี้เป็น
ตัวอย่างตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่เป็นหมิ่นประมาท 

         - ลงข้อความในหนังสือพิมพ์ว่า ไอ้เสี่ยวบ้ากาม  หมายถึงโจทก์มักมาก ในวิสัยปุถุชนทั่วไป
         - กล่าวหญิงมีสามีเป็นชู้กับชายอื่น
         - กล่าวว่า พี่น้องร่วมบิดามารดาได้เสียกันจนมีครรภ์ต้องทำแท้ง
         - กล่าวว่า พี่หร่ำ ระวังลูกสาวจะท้องโตหมายความว่าลูกสาวคบชู้สู่ชาย
         - กล่าวว่า ข้าราชการหญิงเป็นกะหรี่ที่ดิน
         - กล่าวว่ากำนันประพฤติตนไม่สมควรแก่หน้าที่ส่งเสริมลูกบ้านให้มีคดี อวดอ้างสนิทชิดชอบกับตุลาการและธุรการหลอกเอาเงินกินนอกกินเหนือ ทำให้ราษฎรเดือดร้อนอย่างแรง
         - กล่าวว่ากำนันเกเร กำนันเกะกะ กำนันเป็นผู้ร้าย
         - ว่ากรมอากาศยานเสียดายเครื่องบินยิ่งกว่าชีวิตมนุษย์
         - ว่าสมเด็จพระสังฆราชสั่งสึกพระ อ. ก่อกรรมแก่พวกสามเณร ไม่รับ สามเณร ณ. ไว้ในอาวาส ไม่รับที่ดินเป็นธรณีสงฆ์ ประพฤติผิดหลักธรรม ผู้ใหญ่ ริษยา อาธรรม์ ถืออำนาจเป็น ธรรมไม่ละอายแก่บาป
         - ว่าพระจับมือ กอด เอาหญิงนั่งตัก
         - ว่าผู้พิพากษากินเลี้ยงฉลองกับผู้ชนะคดี ในเย็นวันที่ตอนตัดสินคดีนั้น หมายความในทำนองว่าพิพากษาคดีโดยไม่สุจริต
         - ว่าปลัดอำเภอช่วยผู้ต้องหามิให้ต้องรับโทษ ขู่พยานไม่ให้ยันผู้ต้องหา
         - ว่านายอำเภอเป็นเสือผู้หญิงไปตรวจราชการเที่ยวเอาผู้หญิงเป็นเมีย
         - ว่าตำรวจจับในข้อหามีไม้ขีดไฟผิดกฎหมายควบคุมแล้วเรียกเอาเงิน
         - ว่าตำรวจสอบสวนไม่ยุติธรรม จดคำพยานไม่ตรง
         - กล่าวว่า ข. ซึ่งเป็นข้าราชการโกงบ้านโกงเมือง
         - ผู้สมัครรับเลือกตั้งออกแถลงการณ์ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นนายก เทศมนตรี บริหารงานบกพร่องมากจนสมาชิกไม่สนับสนุน เทศมนตรี ลาออก ฐานะการเงินทรุดหนักเป็นเลศนัยให้เข้าใจในทางอกุศล มีมูลเป็น หมิ่นประมาท
         - ว่าโจทก์ไม่อุทิศเวลาให้แก่ราชการมาสายเป็นประจำไม่ทำตามคำสั่ง ผู้บังคับบัญชา ทำให้ข้าราชการแตกความสามัคคี
         - ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดประพฤติตนอย่างไร้ศีลธรรม มีส่วนพัวพันเป็น ผู้จ้างคนฆ่านักข่าวใช้อำนาจในทางที่ผิดเป็นหมิ่นประมาท
         - ว่าหลบหนีเจ้าหนี้แสดงว่า ตั้งใจบิดพริ้วไม่ชำระหนี้ เป็นหมิ่นประมาท
         - เจ้าหนี้ปิดประกาศว่า แจ้งความให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ล. ติด 53 สตางค์ ติด 1 ปี...ขอให้คิดว่าอาย  ดังนี้อาจทำให้เข้าใจว่า ล. เป็นคนที่เชื่อถือ ไม่ได้ แม้เป็นหนี้เล็กน้อยก็ปล่อยให้ค้างเป็นแรมปี เป็นหมิ่นประมาท
         - หนังสือพิมพ์ลงข้อความว่า จ. ออกเช็คจ่ายเงิน 1 ล้านบาท ไม่มีเงิน ธนาคารงดจ่ายเงิน จ. เป็นนายกเทศมนตรี และทำการค้าเป็นหมิ่นประมาท เป็นที่เข้าใจว่า จ. ฐานะการเงินไม่น่าเชื่อถือ

 ตัวอย่างที่ศาลได้เคยพิพากษาไว้ว่าไม่เป็นหมิ่นประมาท 

         - พูดว่า อ้ายครูชาติหมา สอนเด็กให้ต่อยกัน
         - กล่าว่า ด ซึ่งเป็นครูประชาบาลเป็นคนนิสัยไม่ดี มีความรู้สึกต่ำ เป็นการเลื่อนลอยไม่ทำให้เข้าใจว่าไม่ดีหรือต่ำอย่างไร
         - กล่าวว่า “ไอ้ทนายกระจอก ทนายเฮงซวย” เป็นการพูดดูหมิ่น เหยียดหยาม ให้อับอายเจ็บใจ ไม่เป็นการใส่ความให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ไม่เป็นหมิ่นประมาท
        - นายตำรวจกำลังเปรียบเทียบให้ ก. เสียค่าซ่อมรถที่ชนกัน ก. ว่า ผู้กองพูดอย่างนี้เอากฎหมายมาพูดไม่มีศีลธรรม
         - บ.โกรธ ม. ผู้อำนวยการโรงพยายาลจึงว่าผู้อำนวยการคนนี้ ใครว่าดี เดี๋ยวนี้ดีแตกแล้ว ไปติดต่อคนไข้มาก็ไล่...ใจร้อยยังกับไฟ...ถึงเจ็บ ก็จะไม่มารักษาที่นี่”   เป็นคำกล่าวที่ไม่สมควร ขาดคารวะ
         - กล่าวว่า  “นิคมเป็นตำรวจหมา ๆ บ่รู้จักอีหยังฯ”เป็นถ้อยคำไม่สุภาพ แต่ไม่ถึงทำให้เข้าใจว่าเป็นตำรวจเลวหรือ ไม่รับผิดชอบ ไม่เป็นหมิ่นประมาท
         - ผู้รับจำนองขอให้คนอื่นช่วยไกล่เกลี่ยให้ผู้จำนองไถ่จำนองเพื่อไม่ต้อง ฟ้องคดี แม้จะกล่าวว่าได้เตือนแต่เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ไม่เป็นการใส่ความ
         - ประกาศเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ปิดที่ร้านและบ้านลูกหนี้ ที่ตู้ยาม ตำรวจ เพราะไม่พบตัวลูกหนี้ ส่งทางไปรษณีย์ก็ไม่มีคนรับ
         - ประกาศว่าโจทก์พ้นจากตำแหน่งประธานชมรมร้านขายยาแล้ว ถ้าผู้นี้ไปแอบอ้างชื่อชมรม ชมรมไม่รับผิดชอบ
         - ลงหนังสือพิมพ์เป็นประกาศสำนักงานทนายความให้ลูกหนี้ใช้หนี้ ภายใน 7 วัน นำสืบไม่ได้ว่าแกล้งโดยไม่สุจริต หลังจากทวงหลายครั้ง ยังเกี่ยวจำนวนหนี้กันอยู่ เป็นการที่เจ้าหนี้มีสิทธิทำได้ตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 284 ไม่เป็นหมิ่นประมาท




ที่มา : คณะอาจารย์เผยแพร่วิชาการด้านกฎหมาย มหาวิทยาลัยรามคำแหง
      :  สำนักงานกฎหมายพีศิริ ทนายความ    www.lawyerleenont.com


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น