กฎหมายกับสังคมสื่ออิเล็กทรอนิกส์
จากกระดานความคิด โดยจุมพล ชื่นจิตต์ศิริ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มานำเสนอให้ทราบกัน
สังคมไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมากมาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในสังคม จากที่เคยอาศัยเพียงปัจจัยสี่ในการดำรงชีพ แต่ในปัจจุบันหลายคนต่างมีสิ่งที่จำเป็นมากมายกว่าปัจจัยสี่ ซึ่งเป็นเครื่องช่วยอำนวยให้เกิดความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตและการติดต่อสื่อสาร ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือเหล่านั้นก็คือ “สื่ออิเล็กทรอนิกส์"
หากจะกล่าวว่า หลายคนอาจอยู่ไม่ได้ในโลกนี้ถ้าปราศจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็คงไม่เกินจริงนักกับสังคมไทย เพราะหากพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันมีมากมายเหลือเกิน เราอยากจะรู้เรื่องอะไรก็เข้าไปค้นหาทางอินเทอร์เน็ต อยากจะคุยกับใครที่อยู่ห่างไกลก็ใช้โทรศัพท์ที่คุยแล้วสามารถเห็นหน้ากันได้ เหล่านี้ถือเป็นในแง่ที่เกิดประโยชน์ แต่เมื่อมีประโยชน์ก็อาจมีโทษเหมือนกัน ดังนั้น จึงอาจมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายหรือมาตรการมาควบคุมการใช้งานสิ่งเหล่านี้ไม่ให้เกิดปัญหาที่จะเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ด้วยเหตุที่กฎหมายเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคม นอกเหนือจากศีลธรรม วัฒนธรรม ศาสนา และจารีตประเพณี ซึ่งมุ่งให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข กฎหมายจึงมีลักษณะที่เป็นทั้งข้อห้ามมิให้กระทำหรือฝ่าฝืน และมีสภาพบังคับให้ปฏิบัติตามหากใครฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังก็จะถูกกฎหมายบังคับหรือลงโทษได้
เมื่อเราลองพิจารณาเฉพาะในแง่ที่เป็นปัญหาจะเห็นว่า ปัจจุบันบุคคลถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์จนส่งผลให้เกิดเป็นปัญหาอยู่บ่อยครั้ง และการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวในหลายกรณีก็เกิดจากบุคคลนั้นเองเป็นผู้มีส่วนทำให้เกิดการละเมิดสิทธิดังกล่าวโดยไม่รู้ตัว ในเบื้องต้นเราอาจแบ่งการพิจารณาสิทธิความเป็นส่วนตัวออกเป็นสองประเภท ได้แก่ ประเภทแรกคือ ความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภค เช่น สิทธิในความเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของผู้ให้บริการออนไลน์ของสถาบันการเงิน ห้างร้าน หรือบริษัทประกันชีวิต การส่งต่อหรือซื้อขายข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไปยังบุคคลที่สามถือเป็นเรื่องผิด แต่บางครั้งก็เป็นตัวเราเองที่ยินยอมให้ข้อมูลส่วนตัวไปโดยไม่ได้ระมัดระวัง
ประการที่สอง คือ ความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เช่น การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อกล่าวหาหรือโจมตีบุคคลที่มีความคิดเห็นต่างกันทางการเมือง หรือใช้ข้อมูลเพื่อกลั่นแกล้งให้บุคคลอื่นเสียหาย ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะพบว่า ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่จะนำมาใช้บังคับป้องปรามการละเมิดความเป็นส่วนตัวได้โดยตรง
จากตัวอย่างข้างต้นนี้อาจชี้ให้เห็นได้ว่า ปัญหาการละเมิดความเป็นส่วนตัวในปัจจุบันสะท้อนถึงภาพรวมของกระบวนการไหลเวียนของข้อมูลส่วนตัว ซึ่งบ่งชี้ตัวบุคคลได้ เช่น ชื่อ นามสกุล อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ ที่ทำงาน เลขบัญชีธนาคาร ฯลฯ กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ คนส่วนใหญ่อาจไม่ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการที่มีผู้เข้าถึงและนำข้อมูลส่วนตัวของเราไปใช้ประโยชน์โดยที่เราไม่ยินยอม รวมทั้งผลกระทบจากการที่ข้อมูลของเราไปอยู่ในสื่อสาธารณะโดยไม่รู้ตัวและไม่อาจควบคุมได้
จากงานวิจัยของนักวิชาการที่สำรวจสถานการณ์การละเมิดความเป็นส่วนตัวในโลกสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในสังคมไทย ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2556 จำนวน 6 กรณีตัวอย่าง พบว่า ปัญหาการละเมิดสิทธิดังกล่าวแบ่งออกเป็นสามรูปแบบ ได้แก่ แบบแรก การละเมิดความเป็นส่วนตัวของธุรกิจเอกชน เช่น การกรอกแบบสอบถามในการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือ การเผยแพร่อีเมลของลูกค้าโดยไม่ตั้งใจ แบบที่สอง การละเมิดความเป็นส่วนตัวจากหน่วยงานของรัฐ และแบบที่สาม การละเมิดความเป็นส่วนตัวระหว่างผู้ใช้บริการออนไลน์ด้วยกันเอง เช่น การถ่ายภาพบุคคลอื่น แล้วนำมาโพสต์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการส่งต่อภาพถ่ายส่วนตัวเพื่อกลั่นแกล้งหรือประจานผู้อื่น
จากกรณีข้างต้น ล้วนเป็นปัญหาที่สะท้อนว่าควรมีกฎหมายออกมาป้องปรามมากกว่าที่จะออกกฎหมายมาเพื่อปราบปราม สิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่กระทบต่อสังคมแน่นอน เพียงแต่จะกระทบในมิติใด ผู้เขียนหวังว่าผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวจะนำมาตรการไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดมาใช้อย่างจริงจังเพื่อให้สังคมไม่มีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจนเกินความพอดี และหน่วยงานของรัฐจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไปดำเนินการ ขออย่าให้เป็นเพียงความหวังเลยครับ
หากจะกล่าวว่า หลายคนอาจอยู่ไม่ได้ในโลกนี้ถ้าปราศจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็คงไม่เกินจริงนักกับสังคมไทย เพราะหากพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันมีมากมายเหลือเกิน เราอยากจะรู้เรื่องอะไรก็เข้าไปค้นหาทางอินเทอร์เน็ต อยากจะคุยกับใครที่อยู่ห่างไกลก็ใช้โทรศัพท์ที่คุยแล้วสามารถเห็นหน้ากันได้ เหล่านี้ถือเป็นในแง่ที่เกิดประโยชน์ แต่เมื่อมีประโยชน์ก็อาจมีโทษเหมือนกัน ดังนั้น จึงอาจมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายหรือมาตรการมาควบคุมการใช้งานสิ่งเหล่านี้ไม่ให้เกิดปัญหาที่จะเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ด้วยเหตุที่กฎหมายเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคม นอกเหนือจากศีลธรรม วัฒนธรรม ศาสนา และจารีตประเพณี ซึ่งมุ่งให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข กฎหมายจึงมีลักษณะที่เป็นทั้งข้อห้ามมิให้กระทำหรือฝ่าฝืน และมีสภาพบังคับให้ปฏิบัติตามหากใครฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังก็จะถูกกฎหมายบังคับหรือลงโทษได้
เมื่อเราลองพิจารณาเฉพาะในแง่ที่เป็นปัญหาจะเห็นว่า ปัจจุบันบุคคลถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์จนส่งผลให้เกิดเป็นปัญหาอยู่บ่อยครั้ง และการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวในหลายกรณีก็เกิดจากบุคคลนั้นเองเป็นผู้มีส่วนทำให้เกิดการละเมิดสิทธิดังกล่าวโดยไม่รู้ตัว ในเบื้องต้นเราอาจแบ่งการพิจารณาสิทธิความเป็นส่วนตัวออกเป็นสองประเภท ได้แก่ ประเภทแรกคือ ความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภค เช่น สิทธิในความเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของผู้ให้บริการออนไลน์ของสถาบันการเงิน ห้างร้าน หรือบริษัทประกันชีวิต การส่งต่อหรือซื้อขายข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไปยังบุคคลที่สามถือเป็นเรื่องผิด แต่บางครั้งก็เป็นตัวเราเองที่ยินยอมให้ข้อมูลส่วนตัวไปโดยไม่ได้ระมัดระวัง
ประการที่สอง คือ ความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เช่น การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อกล่าวหาหรือโจมตีบุคคลที่มีความคิดเห็นต่างกันทางการเมือง หรือใช้ข้อมูลเพื่อกลั่นแกล้งให้บุคคลอื่นเสียหาย ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะพบว่า ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่จะนำมาใช้บังคับป้องปรามการละเมิดความเป็นส่วนตัวได้โดยตรง
จากตัวอย่างข้างต้นนี้อาจชี้ให้เห็นได้ว่า ปัญหาการละเมิดความเป็นส่วนตัวในปัจจุบันสะท้อนถึงภาพรวมของกระบวนการไหลเวียนของข้อมูลส่วนตัว ซึ่งบ่งชี้ตัวบุคคลได้ เช่น ชื่อ นามสกุล อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ ที่ทำงาน เลขบัญชีธนาคาร ฯลฯ กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ คนส่วนใหญ่อาจไม่ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการที่มีผู้เข้าถึงและนำข้อมูลส่วนตัวของเราไปใช้ประโยชน์โดยที่เราไม่ยินยอม รวมทั้งผลกระทบจากการที่ข้อมูลของเราไปอยู่ในสื่อสาธารณะโดยไม่รู้ตัวและไม่อาจควบคุมได้
จากงานวิจัยของนักวิชาการที่สำรวจสถานการณ์การละเมิดความเป็นส่วนตัวในโลกสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในสังคมไทย ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2556 จำนวน 6 กรณีตัวอย่าง พบว่า ปัญหาการละเมิดสิทธิดังกล่าวแบ่งออกเป็นสามรูปแบบ ได้แก่ แบบแรก การละเมิดความเป็นส่วนตัวของธุรกิจเอกชน เช่น การกรอกแบบสอบถามในการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือ การเผยแพร่อีเมลของลูกค้าโดยไม่ตั้งใจ แบบที่สอง การละเมิดความเป็นส่วนตัวจากหน่วยงานของรัฐ และแบบที่สาม การละเมิดความเป็นส่วนตัวระหว่างผู้ใช้บริการออนไลน์ด้วยกันเอง เช่น การถ่ายภาพบุคคลอื่น แล้วนำมาโพสต์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการส่งต่อภาพถ่ายส่วนตัวเพื่อกลั่นแกล้งหรือประจานผู้อื่น
จากกรณีข้างต้น ล้วนเป็นปัญหาที่สะท้อนว่าควรมีกฎหมายออกมาป้องปรามมากกว่าที่จะออกกฎหมายมาเพื่อปราบปราม สิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่กระทบต่อสังคมแน่นอน เพียงแต่จะกระทบในมิติใด ผู้เขียนหวังว่าผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวจะนำมาตรการไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดมาใช้อย่างจริงจังเพื่อให้สังคมไม่มีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจนเกินความพอดี และหน่วยงานของรัฐจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไปดำเนินการ ขออย่าให้เป็นเพียงความหวังเลยครับ
ระบบรายงานตามกฎหมายความปลอดภัยฯ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ระบบรายงานตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน โดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-form) ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง แบบการแจ้งการดำเนินการหรือส่งเอกสารตามมาตรฐานในการให้บริหารและการจัดการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2553 ลงวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทางเลือกในการอำนวยความสะดวกแก่สถานประกอบกิจในการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายความปลอดภัยฯ ให้สามารถรายงานผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลา และยังช่วยลดปริมาณเอกสารสิ่งพิมพ์ การจัดส่ง และที่จัดเก็บเอกสารดังกล่าว นอกจากนี้พนักงานตรวจแรงงานยังสามารถเข้าใช้ระบบ (e-form) เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการวางแผนตรวจความปลอดภัยฯ ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ขั้นตอนการเข้าใช้ระบบรายงานตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน โดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับสถานประกอบกิจการ
1. ลงทะเบียนเพื่อขอรับรายชื่อและรหัสผู้ใช้ก่อนเข้าใช้งานระบบรายงานฯ ได้ที่ เว็บไซต์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน www.labour.go.th และเว็บไซต์ของสำนักความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน www.oshthai.org ซึ่งจะได้รับรายชื่อและรหัสผู้ใช้ภายใน 1 สัปดาห์
2. หลังจากได้รับรายชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านแล้ว สถานประกอบกิจการสามารถใช้งานระบบได้ทันที โดยล็อกอินเข้าสู่ระบบ โดยเลือกที่ช่อง “ เข้าสู่ระบบ” จะพบระบบรายงานฯ รวม 8 ระบบ ดังนี้
1. ระบบสารเคมีอันตราย
2. ระบบรังสีชนิดก่อไอออน
3. ระบบเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน
4. ระบบการแจ้งผลการตรวจสุขภาพที่พบความผิดปกติหรือการเจ็บป่วยการให้การรักษาพยาบาลและการป้องกันแก้ไข
5. ระบบแจ้งสถานที่การปฎิบัติงานเกี่ยวกับการให้ลูกจ้างทำงานประดาน้ำ
6. ระบบรายงานผลการฝึกซ้อมดับเพลิงและหนีไฟ
7. ระบบรายงานการฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ
8. ระบบรายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับความร้อน แสงสว่างหรือเสียง ภายในสถานประกอบกิจการ
3. บันทึกผลการดำเนินงานตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงานและตรวจสอบความถูกต้อง
4. เมื่อบันทึกผลการดำเนินงานแล้ว สถานประกอบกิจการสามารถเรียกดูข้อมูลจากระบบรายงานฯ และพิมพ์ในรูปเอกสารได้
5. กรณีที่ข้อมูลภายหลังจากการบันทึกไม่ถูกต้อง หรือไม่พบข้อมูลในฐานข้อมูลสถานประกอบกิจการสามารถประสานหน่วยงานกรมสวัสดิการและแรงงานในพื้นที่นั้นเพื่อแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ให้อำนาจนายจ้างรายงานตามกฎหมายความปลอดภัยผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ 16 แบบรายงาน จากทั้งหมด 23 แบบรายงาน รายละเอียดแบบรายงานที่ไม่สามารถรายงานทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์และต้องรายงานเป็นเอกสารเท่านั้น มีดังต่อไปนี้
1. แบบรายงานผลการตรวจสุขภาพลูกจ้างที่ทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย (แบบ สอ.4)
2. การแจ้งชื่อเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานเพื่อขึ้นทะเบียนต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
3. แบบแจ้งกรณีลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือสูญหาย
4. แบบรายงานการฝึกอบรมความปลอดภัยในการทำงานในที่อับอากาศ
5. รายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระบบความร้อน
6. รายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับความเข้มของแสงสว่าง
7. รายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง กรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน (ส่วนกลาง) ผู้ดูแลระบบแบบการรายงานฯประกอบด้วย 2 หน่วยงาน คือ
1. สำนักพัฒนามาตรฐานแรงงาน รับผิดชอบในการให้รายชื่อและรหัสการใช้งาน และดูแลระบบให้สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้สถานประกอบกิจการเข้าบันทึกผลการดำเนินงานตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงานได้ตลอดเวลา หมายเลขโทรศัพท์ 0 2245 5981
2. สำนักความปลอดภัยแรงงาน รับผิดชอบในการให้คำแนะนำสถานประกอบกิจการสามารถบันทึกผลการดำเนินงานตามกฎหมายความปลอดภัยในการทำงานตามระบบการรายงานที่กำหนดไว้ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2448 9128-39 ต่อ 508
ที่มา : สำนักความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
ระบบรายงานตามกฎหมายความปลอดภัยฯ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระบบรายงานตามกฎหมายความปลอดภัยฯ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ฮ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น