ดิฉันมีเรื่องเกี่ยวกับกฎมายด้านการโฆษณา มานำเสนอให้คุณผู้อ่านได้่าน และศึกษาดูกันนะคะ
กฎหมายด้านการโฆษณา
ความจำเป็นของรัฐในการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคหากมองจากสภาพทางเศรษฐกิจคงจะเป็นผลสืบเนื่องจากระบบเศรษฐกิจเสรี (Laisser Fair) ซึ่งเป็นระบบที่เปิดโอกาสให้เอกชนแข่งขันในทางการค้าโดยรัฐไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว จนกระทั่งเกิดการผูกขาดโดยระบบทุนและกำไรในการผลิต เกิดความคิดในการใช้งานโฆษณาเพื่อจำหน่ายสินค้าและบริการโฆษณาถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้รัฐได้เล็งเห็นปัญหาและความเสียเปรียบที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคในการตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการ รัฐมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อคุ้มครอง
สิทธิของผู้บริโภคไว้จึงได้ตรากฎหมายขึ้นและดำเนินการโดยฝ่ายปกครองเพื่อคุ้มครองสิทธิและเข้าไปดำเนินคดีที่สิทธิผู้บริโภคถูกละเมิด เพราะการโฆษณาได้ฝ่าฝืนข้อห้ามหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎหมายที่นักสื่อสารมวลชนหรือผู้ประกอบอาชีพโฆษณาควรรู้ ได้แก่
1. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2541
2. พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 , 2518 , 2522
3. พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522
4. พระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท พ.ศ. 2518
5. พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535
6. พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
1.) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2541
ผู้บริโภคมีสิทธิจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
1.สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ
2.สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าและบริการ
3.สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ
(3.ทวิ)สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา 2
4.สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย(มาตรา4)
กฎหมายด้านการโฆษณายา
2. )พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510
“ผู้อนุญาต” หมายความว่า
1. เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือผู้ซึ่งคณะกรรมการอาหารและยามอบหมาย สำหรับการอนุญาตผลิตยา หรือการนำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักร
2. เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือผู้ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบหมาย สำหรับการขายยาในกรุงเทพมหานคร
3. ผู้ว่าราชการจังหวัดสำหรับการอนุญาตขายยาในจังหวัดที่อยู่ในเขตอำนาจนอกจากกรุงเทพมหานคร “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการยาตามพระราชบัญญัตินี้
ก. ข้อห้ามและระเบียบปฏิบัติ
พระราชบัญญัติยาได้วางบรรทัดฐานในการโฆษณาขายยาไว้ในหมวด 11 การโฆษณายามี ทั้งข้อห้าม แนวปฏิบัติ และบทลงโทษ หากมีการฝ่าฝืนตามบทบัญญัติ ดังนี้
1. การโฆษณาขายยาจะต้อง
1.1 การโฆษณาจะต้องคำนึง
(1) ไม่เป็นการโอ้อวดสรรพคุณยาหรือวัตถุอันเป็นส่วนประกอบของยาว่าสามารถบำบัด บรรเทา
รักษา หรือป้องกันโรค หรือความเจ็บป่วยได้ อย่างศักดิ์สิทธิ์ หรือหายขาด หรือใช้ถ้อยคำอื่นใดที่มี
ความหมายทำนองเดียวกัน
(2) ไม่แสดงสรรพคุณยาอันเป็นเท็จหรือเกินความจริง
(3) ไม่ทำให้เข้าใจว่าวัตถุใดเป็นตัวยาหรือส่วนประกอบของยา ซึ่งความจริงไม่มีส่วนประกอบหรือวัตถุ
นั้นในยาหรือมีแต่ไม่ทำที่เข้าใจผิด
(4) ไม่ทำให้เข้าใจว่าเป็นยาทำให้แท้งลูก หรือยาขับระดูอย่างแรง
(5) ไม่ทำให้เข้าใจว่าเป็นยาบำรุงกามหรือคุมกำเนิด
(6) ไม่แสดงสรรคุณอันตราย หรือยาคุมพิเศษ
(7) ไม่มีการรับรองหรือยกย่องสรรพคุณยาโดยบุคคลอื่น
(8) ไม่แสดงสรรพคุณยาว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษาหรือป้องกันโรคหรืออาการของโรคที่รัฐมนตรี
ประกาศตามมาตรา 77
1.2 ห้ามมิให้โฆษณาขายยาโดยไม่สุภาพหรือการร้องรำทำเพลง หรือแสดงความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย(มาตรา 89)
1.3 ห้ามมิให้มีการโฆษณาขายยาโดยวิธีแถมพกหรือออกสลากรางวัล (มาตรา 90)
2. วิธีปฏิบัติในการโฆษณา การโฆษณาขายยาทางวิทยุกระจายเสียง เครื่องขยายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ทางฉายภาพหรือทางภาพยนตร์หรือทางสิ่งพิมพ์จะต้อง
(1) ได้รับอนุญาตข้อความเสียง หรือภาพที่ใช้ในการโฆษณาจากผู้อนุญาต
(2) ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ผู้อนุญาตกำหนด (มาตรา 88 ทวิ)
3. อำนาจการสั่งการ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ระงับการโฆษณาขายยาที่เห็นว่าเป็นการโฆษณาโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ได้ (มาตรา 90 ทวิ)
ประกาศตามมาตรา 77
1.2 ห้ามมิให้โฆษณาขายยาโดยไม่สุภาพหรือการร้องรำทำเพลง หรือแสดงความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย(มาตรา 89)
1.3 ห้ามมิให้มีการโฆษณาขายยาโดยวิธีแถมพกหรือออกสลากรางวัล (มาตรา 90)
2. วิธีปฏิบัติในการโฆษณา การโฆษณาขายยาทางวิทยุกระจายเสียง เครื่องขยายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ทางฉายภาพหรือทางภาพยนตร์หรือทางสิ่งพิมพ์จะต้อง
(1) ได้รับอนุญาตข้อความเสียง หรือภาพที่ใช้ในการโฆษณาจากผู้อนุญาต
(2) ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ผู้อนุญาตกำหนด (มาตรา 88 ทวิ)
3. อำนาจการสั่งการ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ระงับการโฆษณาขายยาที่เห็นว่าเป็นการโฆษณาโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ได้ (มาตรา 90 ทวิ)
ข. บทกำหนดโทษ
หากผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้าม แนวทางปฏิบัติจะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ดังนี้
(1) ผู้ใดโฆษณาขายยาโดยฝ่าฝืนมาตรา 88 มาตรา 88 ทวิ มาตรา 89 และมาตรา 90 ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 124)
(2) ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งให้ระงับการโฆษณาขายยาของคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งสั่งตามมาตรา 90
ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและให้ปรับ
รายวันอีกวันละห้าร้อยจนกว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว (มาตรา 124 ทวิ)
กฎหมายด้านการโฆษณาอาหาร
3.) พระราชบัญญัติว่าด้วยอาหาร พ.ศ. 2522
ข้อห้ามและระเบียบปฏิบัติ เพื่อควบคุมให้มีการโฆษณาไม่เป็นพิษภัยต่อผู้บริโภค พระราชบัญญัตินี้จึงได้กำหนดไว้ว่า
1.ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือเป็นการหลอหลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ( มาตรา 40 )
1.ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือเป็นการหลอหลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ( มาตรา 40 )
2. ผู้ใดประสงค์จะโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารทางวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ ทางฉายภาพ หรือทางหนังสือพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์อื่นหรือด้วยวิธีอื่นเพื่อประโยชน์ในทางการค้า ต้องนำเสียง ภาพ ภาพยนตร์ หรือข้อความที่จะโฆษณาดังกล่าวนั้นให้ผู้อนุญาตตรวจพิจารณาก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะโฆษณาได้ ( มาตรา 41 )
3.เพื่อพิทักษ์ประโยชน์ และความปลอดภัยของผู้บริโภค ให้ผู้อนุญาตมีอำนาจสั่งเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
3.1 ให้ผู้ผลิตนำเข้าหรือจำหน่ายอาหาร หรือผู้ทำการโฆษณาระงับการโฆษณาอาหารที่เห็นว่าเป็นการโฆษณาโดยฝ่าฝืนมาตรา 41
3.2 ให้ผู้ผลิตผู้นำเข้าหรือจำหน่ายอาหาร หรือผู้ท าการโฆษณาอาหาร ระงับการผลิตการนำเข้า การจำหน่าย หรือการโฆษณาอาหารที่คณะกรรมการเห็นว่าอาหารดังกล่าวไม่มีคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณตามที่โฆษณา ( มาตรา 42 )
ก. บทกำหนดโทษ หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามต้องรับโทษ ดังนี้
1 ผู้ใดโฆษณาอาหารโดยฝ่าฝืนมาตรา 40 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ( มาตรา 70 )
2 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 41 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท ( มาตรา 71 )
3 ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อนุญาตซึ่งสั่งตามมาตรา 42 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสอง ปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ปรับเป็นรายวันอีกวันละไม่น้อยกว่าห้าร้อยบาทแต่ไม่เกินหนึ่งพันบาทตลอดเวลาที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ( มาตรา 72 )
กฎหมายด้านการโฆษณาวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
มาตรา 48 ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเพื่อการค้า ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์เว้นแต่
(1) การโฆษณาซึ่งกระทำโดยตรงต่อผู้ประกอบอาชีพ เวชกรรม ผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันชั้นหนึ่งในสาขาทันตกรม เภสัชกร หรือผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ชั้นหนึ่ง
(2) เป็นฉลากหรือเอกสารกำกับวัตถุออกฤทธิ์ที่ภาชนะ หริหีบห่อบรรจุวัตถุออกฤทธิ์ วัตถุออกฤทธิ์ หมายความว่า วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ที่เป็นสิ่งธรรมชาติหรือที่ได้จากสิ่งธรรมชาติ หรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่เป็นวัตถุสังเคราะห์ ทั้งนี้ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เอกสารกำกับวัตถุออกฤทธิ์ หมายความว่ากระดาษหรือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ปรากฏความหมายด้วยรูป – รอย ประดิษฐ์ หรือข้อความใดๆ อันเกี่ยวกับวัตถุออกฤทธิ์ ซึ่งสอดแทรกหรือรวบรวมไว้กับภาชนะ หรือหีบห่อบรรจุวัตถุออกฤทธิ์ ( มาตรา 4 )
กฎหมายด้านการโฆษณาวัตถุอันตราย
5.) พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
มาตรา 51 การควบคุมการโฆษณาวัตถุอันตราย ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง
ผู้บริโภค และเพื่อประโยชน์ในการควบคุมโฆษณาให้ถือว่า วัตถุอันตรายที่มีการกำหนดฉลากตามมาตรา
20 ( 1 ) เป็นสินค้าที่มีการควบคุมฉลาก โดยคณะกรรมการควบคุมฉลากตามกฎหมายดังกล่าวโดยอนุโลม
วัตถุอันตราย หมายความว่า วัตถุดังต่อไปนี้
1 วัตถุระเบิดได้
2 วัตถุไวไฟ
3 วัตถุออกซิไดซ์และวัตถุเปอร์ออกไซด์
4 วัตถุมีพิษ
5 วัตถุที่ทำให้เกิดโรค
6 วัตถุกัมมันตรังสี
7 วัตถุที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม
8 วัตถุกัดกร่อน
9 วัตถุที่ก่อให้เกิดระคายเคือง
10 วัตถุอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นเคมีภัณฑ์ หรือสิ่งอื่นใด ที่อาจทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืชทรัพย์ หรือสิ่งแวดล้อม ( มาตรา 4 )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น